เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พวกเราชาวพุทธ เราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติกัน แต่ก่อนหน้านี้เราก็ไม่กล้าประพฤติปฏิบัติ เพราะในสังคมบอกเลย ใครปฏิบัติถ้าไม่มีครูบาอาจารย์จะเป็นคนบ้า ทุกคนก็ไม่กล้าปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านออกประพฤติปฏิบัติครั้งแรก ทุกคนหาว่าเป็นผีบุญ เห็นพระห่มผ้าสีดำๆ วิ่งหนีกันหมดเลย แต่ท่านใช้ความวิริยะ ความอุตสาหะ ไปอยู่ที่มูเซอ เห็นไหม เขาว่าเป็นผีบุญ มาเดินย่องๆ อยู่นั่นผีบุญทั้งนั้นแหละ อย่าให้เข้าไปใกล้

ท่านก็ใช้ความวิริยะอุตสาหะของท่านนะ อยู่ทีหนึ่ง ๖-๗ เดือน ฝนตกแดดออกขนาดไหนก็เดินอยู่อย่างนั้นแหละ จนเขามาเห็น เขาตรวจสอบ เขาเห็นว่าทำจริงทำจังก็ออกมาฝึกมาฝนด้วยจนเขารู้จริงขึ้นมา พอรู้จริงขึ้นมาเราเคารพด้วยหัวใจของเรา นี่สิ่งที่เคารพด้วยหัวใจของเรา เวลาหลวงปู่มั่นจะจากเขามา เขาร้องห่มร้องไห้ เขาเสียอกเสียใจ เสียใจมากเพราะอะไร? เพราะมันมีความร่มเย็นเป็นสุข

ศาสนามันให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับชาวโลกนะ ศาสนาให้ความร่มเย็นเป็นสุข แต่เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราก็ว่าเราจะเอาจริงเอาจังกัน แล้วเวลาปฏิบัติกัน เห็นไหม เวลาว่าพระป่าๆ เขาดูถูกมาก บอกว่าหลับหูหลับตามันจะรู้อะไรพระป่านี่ แล้วปฏิบัติไป โอนบุญ เบิกบุญอะไรเนี่ย

ไอ้โอนบุญ เบิกบุญ ครูบาอาจารย์เราก็ไม่เห็นด้วยทั้งนั้นแหละ แต่เราไม่พูด ไม่กระทบกระเทือนกันไง ถ้าจะจับผิดกันอย่างนั้น มันจับผิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว สมัยพุทธกาล เห็นไหม ดูสิในพระไตรปิฎก ถ้าภิกษุเห็นผิดแล้วสามเณรไปคบนี่ปรับจับอาบัติหมดเลย ไม่ให้เห็นผิดเลย ถ้าเห็นผิดใครไปคบปรับอาบัติหมด

ทีนี้เวลาพระป่าปฏิบัติ เวลาถ่ายทอดกันมานี่มันจะรู้จริงหรือไม่รู้จริง ความไม่จริงอันนั้น ถ้าใจมันไม่จริง สิ่งที่ใจไม่จริง เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านบอกไม่ให้เทศน์ ไม่ให้สอนนะ ไม่ให้พูดออกไปถ้าตัวเองยังแก้ไขตัวเองไม่ได้ ถ้าตัวเองแก้ไขตัวเองได้แล้วความรู้จริงอันนั้นมันถูกต้องหมด แต่นี้ความรู้จริงอันนั้นมันไม่รู้จริง การแสดงออกไปมันผิดหมดแหละ แล้วว่าจะแก้ไขให้มันถูก แก้ไขให้มันถูก

มันจะแก้ไขให้ถูกมันต้องกลับมาแก้ไขที่ใจก่อน หัวใจถ้ามันถูกต้องแล้วมันแสดงออกไปมันจะผิดไปไม่ได้เลย แต่ถ้าหัวใจมันผิดอยู่นะ หัวใจมันยังไม่เข้าใจอยู่ นี่พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็ผิดทั้งนั้นแหละ มันผิดทั้งนั้น แล้วนี่เห็นไหม บอกว่าในสังคมไม่มีใครตรวจสอบ ไม่มีดูแล ว่าโอนบุญมันผิด มันมีในพระไตรปิฎกหรือเปล่า? แล้วยุบหนอ พองหนอ มันมีในพระไตรปิฎกหรือเปล่าล่ะ?

สิ่งที่เขาทำกัน นามรูปมันมีในพระไตรปิฎกไหม? เพราะกรรมฐาน ๔๐ ห้อง นี่พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ แล้วยุบหนอ พองหนอ มันอยู่ตรงไหนล่ะ? มันก็ไม่มี ไม่มีทั้งนั้นแหละ ทีนี้คำว่าไม่มีนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศนาว่าการ เห็นไหม ท่านบอกเวลาแสดงธรรม เราต้องแสดงธรรมให้ชาวบ้านเขาเข้าใจได้ ให้เขาเข้าใจได้ แต่เวลาธรรมวินัยของพระคลาดเคลื่อนไม่ได้ เวลาวินัยนี่ไม่ได้เลย แต่ธรรมะ นี่ธรรมะเวลาจะแสดง ต้องแสดงให้เขาเข้าใจได้

ทีนี้ความให้เขาเข้าใจได้ การอธิบาย เห็นไหม ถ้าใจมันรู้จริงมันอธิบายอย่างไรก็ได้ ทีนี้ถ้าใจรู้จริงห้ามอธิบายออกนอกกรอบเลยมันก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่หรอก นี่ไม่อย่างนั้นมันจะแยกไว้ทำไมว่าปริยัติ ปฏิบัติ.. ปริยัติคือตัวอักษร ปริยัตินี่ท่องตัวอักษรไว้เลย แล้วปฏิบัติ การปฏิบัติมันระหว่างที่จิตใจมันพัฒนาการ มันเปลี่ยนแปลงของมันขึ้นไป มันเห็นของมันขึ้นไปนะ พอจิตมันสงบขนาดไหนนะมันไม่ใช่นิพพานหรอก มันไม่ใช่นิพพานทั้งนั้นแหละ

แต่ความเข้าใจของจิต ถ้าจิตยังมีกิเลสอยู่มันเข้าใจว่านิพพาน พอว่านิพพาน นี่ความเห็นของตัวเองว่าเป็นนิพพาน เวลาแสดงออกไป พอแสดงออกไปนิพพานของตัวเองเป็นอนิจจังไง เพราะความสงบนั้นเป็นอนิจจัง ความสงบนั้นมันไม่ตายตัวหรอก ความสงบนั้นเป็นอนิจจัง อนิจจังนี่เวลาจิตมันดีมันก็แสดงได้ดีทั้งนั้นแหละ พอจิตมันเสื่อมออกไป สิ่งที่แสดงธรรมไปนี่ตัวเองก็ลืมนะ ตัวเองทบทวนตัวเองก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจทั้งนั้นแหละ

สิ่งที่ไม่เข้าใจ แสดงไปมันจะถูกได้อย่างไร? จำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็จริงอยู่ แต่เราใช้ไม่เป็น เราใช้ไม่ได้ เราใช้กับระบบของจิตเราไม่ถูกต้อง เพราะจิตของเรามันต้องอาศัยอะไรก่อน จิตของเราต้องอาศัยมีสติยับยั้งมันก่อน ต้องมีสมาธิให้จิตมันตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นทำความสะอาดของใจให้ได้ขึ้นมาก่อนระดับหนึ่ง แล้วปัญญามันเกิดขึ้นมา โลกุตตรปัญญากับโลกียปัญญานี่มันรู้ รู้เพราะอะไร?

เพราะเวลามันใช้ปัญญากันไป ปัญญาที่เราจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพุทธพจน์ๆ แต่หัวใจมันเป็นกิเลส มันจำมาขนาดไหนมันเป็นโลกียปัญญาเพราะมันออกมาจากใจ เห็นไหม โลกียปัญญา เวลามันพิจารณาไปแล้วมันปล่อยวางขนาดไหน กิเลสนี่ไม่ได้ชำระมันเดี๋ยวมันก็เสื่อม เดี๋ยวมันก็รู้เป็นธรรมดา

แล้วเวลาเป็นโลกุตตธรรมมันเกิดขึ้นมา เวลาปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาจากสัจจะความจริงขึ้นมา แล้วมันแก้ไข มันดัดแปลงขึ้นมา แล้วใจเราเบาขึ้น ใจเราสะอาดขึ้น ใจเราดีขึ้น นี่โลกุตตรปัญญา โลกียปัญญา ถ้าใจดวงไหนมันได้สัมผัสแล้ว มันจะรู้จริงว่าอันไหนเป็นโลกียะ อันไหนเป็นโลกุตตระ

แต่ในปัจจุบันนี้เราไม่เคยสัมผัสโลกุตตระเลย เราสัมผัสแต่โลกียะ แต่เราไปเคลมเอง เราเข้าใจกันเองว่าเป็นโลกุตตระ นี่โลกุตตระเพราะอะไร? เพราะเราคิดว่ามันตรงกับพระไตรปิฎกไง มันตรงกับกรอบไง ตรงกับพระพุทธเจ้าสอนไง แล้วมันตรงจริงหรือเปล่าล่ะ? มันตรงเพราะเป็นสัญญา มันตรงเพราะความเห็นจากภายนอก แต่หัวใจมันไม่ตรง หัวใจมันดีดดิ้น ถ้าหัวใจมันดีดดิ้น ตรงนี้มันสะอาดต่างหากล่ะ

นี่ธรรมที่มันสะอาดขึ้นมา การแสดงออก.. คำว่าพระไตรปิฎก คำหนึ่งก็ต้องให้ถูกต้องตามพระไตรปิฎก นี่พระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว พระไตรปิฎกเหมือนใบไม้ในกำมือ สิ่งที่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่รู้เหมือนใบไม้ในป่า มันยังหลากหลายอีกมหาศาลนัก ถ้าจิตมันถูกต้อง จิตมันดีแล้วมันแสดงออกไปอย่างไรมันก็ถูกต้องทั้งนั้นแหละ มันถูกต้อง

แต่ถ้ามันไม่ตรงพระไตรปิฎกล่ะ? มันไม่ตรงกับพระไตรปิฎกได้อย่างไร? พระไตรปิฎกมันเป็นรัฐธรรมนูญ เห็นไหม ดูสิกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถ้ามันไม่มีกฎหมายลูกมา กฎหมายรัฐธรรมนูญทุกคนอยู่ที่การตีความ กฎหมายลูกบังคับออกไป บังคับให้ต้องทำตามนั้นๆ มันก็บังคับให้เข้ารูปเข้ารอย นี่ก็เหมือนกัน กฎหมายลูก เวลาบัญญัติขึ้นมาแล้วใช้ในสังคมได้จริงหรือเปล่า?

นี่ก็เหมือนกัน กฎหมายลูกที่บังคับออกมาแล้ว สภาวะสังคม ภูมิศาสตร์ต่างๆ มันใช้ได้หรือเปล่า สิ่งที่ใช้ได้หรือเปล่า ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม คนเรานี่ ภูมิศาสตร์ต่างๆ จริตนิสัยของเราต่างๆ สิ่งที่ต่างๆ อันนี้กฎหมายลูกมาบังคับใช้มันอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหม? แต่ในพระไตรปิฎกกับรัฐธรรมนูญมันอันเดียวกันนั่นแหละ

รัฐธรรมนูญ เห็นไหม ดูสินี่ธรรมและวินัยในปาฏิโมกข์ แต่ในศีล ๒๑,๐๐๐ ข้อ ๒๑,๐๐๐ ข้อนี่มานอกปาฏิโมกข์ มานอกปาฏิโมกข์อีกมหาศาลเลย กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ทั้งนั้นแหละ นี่กฎหมายแพ่งไง ดูสิภิกษุน้อมลาภสงฆ์สู่ตน ภิกษุนี่ของของสงฆ์ ของของส่วนรวมเอามาใช้ของบุคคลไม่ได้ นี่ไงสิ่งที่ได้มาเป็นสังฆทาน เราจะแจกกันด้วยการอุปโลกน์ เห็นไหม

นี่กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์มันก็แยกออกไป แล้วกฎหมายรัฐธรรมนูญ ความผิดนี่ ดูสิถ้าความผิดอย่างพระไตรปิฎก เห็นไหม ปาราชิก ๔ ถ้าทำผิดปาราชิก ๔ ตาลยอดด้วนคือขาดจากสงฆ์โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครลงโทษ ไม่ต้องมีใครจัดการ มันขาดโดยธรรมชาติของมัน นี่กฎหมายรัฐธรรมนูญ แล้วในปาฏิโมกข์ เสขิยวัตรนี้มาทีหลัง มาทีหลัง

สิ่งที่มาทีหลังหรือจะมาหน้านี่มันเป็นกาลเวลานะ เขาวิจารณ์กันบอกว่าแม้แต่ในปาฏิโมกข์นะ เสขิยวัตรมันก็ไม่มี ปาฏิโมกข์สมัยพุทธกาลสวด ๑๐๐ กว่าข้อเท่านั้นเอง สิ่งที่ ๗๕, ๗๔ นี้เข้ามาทีหลัง นี่เขาว่ากันไปอย่างนั้น

จะมาทีหลังจะมาหน้า มันเป็นประโยชน์หรือมันเป็นโทษล่ะ? ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา เราปฏิบัติแล้วมันไม่เสียหาย สิ่งนี้เราปฏิบัติได้ไหม? เพราะในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องการให้ใจเราหลุดพ้นต่างหาก ใจหลุดพ้นอย่างเดียว ถ้าใจหลุดพ้นได้ สิ่งใดที่มันส่งเสริมให้ใจหลุดพ้นได้ ใจประพฤติปฏิบัติได้แล้วได้ผล

นี้ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล แต่เที่ยวเอาไม้บรรทัดไปวัดคนอื่น ไม่วัดใจของตัวไง นี่สิ่งนี้ต้องถูกต้องตามพุทธพจน์ ต้องถูกต้องตามพระไตรปิฎก คลาดเคลื่อนจากสิ่งนี้ไม่ได้ แล้วเวลาสิ่งที่เขาทำกันเป็นองค์กรที่เขาทุจริตกันมหาศาลทำไมไม่ไปตรวจสอบ

การตรวจสอบนี่ เราไม่ใช่เห็นด้วยกับคนทำผิดนะ คนทำผิดเราต้องลงโทษ ต้องปรับอาบัติ พระนี่ต้องปรับอาบัติเลย เห็นไหม พระไม่มีลูบหน้าปะจมูก มันต้องเป็นสัจจะความจริง ผิดคือผิด ถูกคือถูก ทีนี้ผิดมันก็คือผิดใช่ไหม? แต่ความผิด ตัวเองที่ไปตรวจสอบเขานี่ถูกหรือยัง? ตัวเองก็ยังรู้จริงขนาดไหน แล้วก็เที่ยวอ้างพุทธพจน์ๆ คำว่าพุทธพจน์ เราไม่เคยค้านพุทธพจน์นะ เราค้านคนอ้างพุทธพจน์ เอาพุทธพจน์ไปทำลายคนอื่น

เอาพุทธพจน์ เอาธรรมวินัยไปทำลายคนอื่น เขาเอาธรรมวินัยไว้ทำลายกิเลสของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ใครเป็นสาวก สาวกะ ธรรมวินัยนี่เอามาชำระกิเลสของเรา เราศึกษามาก็เพื่อประโยชน์ของเรา ธรรมวินัยเขาเอาไว้เชือดเฉือนชำระกิเลส ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสในหัวใจของสัตว์โลก ไม่ใช่เอาธรรมวินัยนี้เที่ยวไปวัดคนอื่น แล้วไปทำลายคนอื่นไง

สิ่งที่ทำ ถ้าคนอื่นทำผิดจากธรรมวินัย นี่อย่างไปทำลายคนอื่น การไปทำให้สังคมสะอาดขึ้นนี่เห็นด้วยนะ การที่เอาพระไตรปิฎก เอาธรรมวินัยมาตรวจสอบ มาเปรียบเทียบให้คนทำให้ถูกต้องนี่เห็นด้วย! เห็นด้วย! แต่ความที่เห็นด้วย ตัวเองใช้มันถูกหรือเปล่า? เหมือนนักกฎหมาย ดูสิตำรวจมันใช้กฎหมายเป็นเตารีด มันเที่ยวไปรีดไถคนอื่น

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ที่เราเอาไปใช้เป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์หรือยัง? เราเข้าใจกฎหมายถูกต้องดีงามแค่ไหน? แล้วกฎหมาย สิ่งที่เราเอาไปใช้มันถูกต้องดีงามหรือยัง? เพราะอะไร? เพราะการทุจริต เห็นไหม

ดูสิเวลาไอ้พวกฉกชิงวิ่งราว ทุกคนก็จับมาได้ทั้งนั้นแหละ เวลาเขาจะวางแผนปล้น เวลาเขาโกงชาติ เขาโกงบริษัทกันเขาแนบเนียนขนาดไหน จะเอากฎหมายอะไรไปจับมัน จะเอาอะไรไปตรวจสอบมันว่าผิดหรือมันถูก นี่พอไปเจอกฎหมาย ไปเจอที่เขาหาผลประโยชน์ของเขาขนาดนั้นก็ตีความไม่ออกอีกแหละ

สิ่งนี้ เห็นไหม ถ้าพูดถึงพวกเราฝ่ายปฏิบัตินี่นะ ถ้าเราทำจริงของเรา ถ้าเรายังไม่รู้จริงเราไม่ควรแสดงออกไป ถ้าแสดงออกไปถ้ามันผิดแล้วเราต้องยอมรับผิด นี่ไง เพราะอะไร? เพราะเราขาดการถือนิสัยกันมา เราขาดการมีครูบาอาจารย์มาไง

หลวงปู่มั่นเวลาท่านผิดถูกอย่างไร ท่านตรวจสอบของท่านนะ ท่านเปิดพระไตรปิฎกนะ ท่านมาปรึกษากับเจ้าคุณอุบาลี เห็นไหม เพราะเจ้าคุณอุบาลีเป็นอาจารย์ของท่านในทางปริยัติ แล้วการปฏิบัติท่านตรวจสอบของท่านแล้วไปเทียบกับพระไตรปิฎก ถูกต้องดีงามแล้วถึงแสดงออกมา แสดงออกมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้เราประพฤติปฏิบัติ

ทีนี้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ไม่ขอนิสัย ไม่มีนิสัย ไม่มีที่มาไง ต้นไม้ไม่มีพันธุ์พืช ไม่มีเมล็ดพันธุ์มันเกิดเองได้! ต้นไม้มันเกิดเองได้นะ ไม่ต้องอาศัยเมล็ดพันธุ์อะไรเลย มันงอกขึ้นมาจากดิน

แต่ของเรามันไม่ใช่ เรามีที่มาที่ไปใช่ไหม? เรามีครูมีอาจารย์ของเรา ถ้ามีครูบาอาจารย์เรา นี่ความเห็นเรา ความเห็นเด็กๆ ในการประพฤติปฏิบัติน่าสงสารนะ พอเราปฏิบัติใหม่เหมือนสามล้อถูกหวยนะ ไปเจออะไรเข้ามันก็ตื่นเต้นไปหมด เหมือนเด็กมันไม่รู้เรื่อง เด็กมันได้ของเล่นใหม่มันดีใจ มันตกใจ แล้วของเล่นกับความจริงมันถูกไหม? จิตมันเล่นได้ กิเลสมันหลอกลวงตลอดเวลา

เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ สิ่งที่เราไปเจอสิ่งใดขึ้นมา ถ้าเรายังไม่เข้าใจนะ เหมือนมีพ่อมีแม่นี่แหละ ลูกมันอยากเล่น อยากสะดวกสบายทั้งนั้นแหละ ลูกมันต้องการความสะดวกของมันทั้งนั้นแหละ มันต้องการของเล่นของมัน พ่อแม่ว่านี้อันตรายนะลูกนะ สิ่งนี้ดูสิของเล่นพลาสติกสีมันกินไม่ได้ สีมันจะเข้าไป นี่ส่วนประกอบมันเป็นโทษกับร่างกาย เล่นแต่ภายนอก ห้ามกลืน ห้ามกิน ต้องดูต้องแลตลอด เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน จิตพอมันไปสัมผัสอะไรขึ้นมานี่มันก็แสดงออกไป เพราะอะไร? เพราะไม่มีนิสัย ไม่ถือนิสัยไปก่อน ถ้ามีนิสัยครูบาอาจารย์เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

“มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด”

แม้แต่โสดาปัตติมรรคกับสกิทาคามิมรรคมันก็แตกต่างกัน สกิทาคามิมรรคกับอนาคามิมรรคก็แตกต่างกัน อนาคามิมรรคกับอรหัตตมรรคก็แตกต่างกัน มรรคก็ไม่เหมือนกัน มรรคไม่เหมือนกัน ดูสิมีดเวลาเขาใช้ในครัว เขาจะมีมีดซอย มีดสับ มีดยังมีหลากหลายเลย แล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้นชำระกิเลสมันหลากหลายมหาศาลเลย แต่ไอ้คนใช้นี่อันเดียวนะ ไอ้พวกที่พูดธรรมะสูตรสำเร็จ

มันเหมือนกับสูตรสำเร็จ เพราะอะไร? เพราะมันคิดว่าอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น สูตรสำเร็จก็จิตสงบไง จิตเป็นสมาธิ อย่างมากก็จิตสงบเท่านั้นแหละ มันหินทับหญ้าไว้ นี่มรรคผลจะเป็นอย่างนี้หมดเลย อธิบายได้อันเดียว แต่ถ้าเป็นคุณงามความจริงนะ โธ่... เวลาสึกขึ้นมานะ... เวลาหลวงตา ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ เห็นไหม พอขึ้นไปถึงอสุภะ อสุภัง ถึงจุดสำคัญท่านบอกข้ามไปก่อนเดี๋ยวมันเป็นสัญญา นี่ท่านข้ามไปท่านไม่อธิบาย ท่านยกข้ามๆๆ แล้วความยกข้ามอันนี้มันหยาบมันละเอียดไม่มีใครรู้ มันไม่มีใครรู้หรอก ถ้าไม่มีใครรู้มันชำระกิเลสไม่ได้ ชำระกิเลสไม่ได้ เห็นไหม นี้มรรคหยาบ มรรคละเอียด ความรู้ความเห็นของเรา ถ้ามีนิสัย มีครูบาอาจารย์นะ การประพฤติปฏิบัติที่ไม่มีการผิดพลาดเลยเอาที่ไหนมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี ขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี เพราะธรรมะยังไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานี่ถูกต้องหมดตั้งแต่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ๖ ปี ๖ ปีที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะเพราะอะไร? เพราะของจริงมันไม่มี สิ่งที่เป็นความจริง สัจธรรมยังไม่เกิดขึ้น

ดูสิอย่างสมัยโบราณทำไมเขาบูชาไฟ บูชาเทวดา บูชาเสียงฟ้าร้อง เพราะอะไร? เพราะเขาไม่เข้าใจใช่ไหม? สมัยโบราณเราไม่เข้าใจนะว่าฟ้าแลบ ฟ้าร้องนี่อู้ฮู.. ตื่นเต้น ตกใจ คนโบราณกลัวมาก กลัวฟ้าผ่า กลัวฟ้าร้อง จะกราบไหว้บูชา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม บอกว่า

“เธออย่าเสียใจ เธออย่าร้องไห้ ญาติพี่น้องเสียชีวิตอย่าเสียใจ ไม่ต้องกราบไหว้ภูเขา ฟ้าต่างๆ ไม่ต้องกราบไหว้”

“เพราะอะไร?”

“เพราะปัจจุบันนี้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เข้าใจกระบวนการทั้งหมด เข้าใจถึงการเกิดและการตาย เข้าใจถึงกิเลส เข้าใจถึงการที่มาทั้งหมด เห็นไหม อริยสัจ รู้ความจริง อนาค-ตังสญาณรู้อนาคต รู้ไปหมดเลย แล้วสิ่งนี้ทำไมจะไม่รู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎกนะว่าอนาคตกาลจะมีฝนเหล็ก สมัยพุทธกาล ๒,๐๐๐ กว่าปีนี่ว่ามีฝนเหล็ก เราคิดว่าฝนเหล็กเป็นอย่างไรล่ะ? ในปัจจุบันนี้เราเห็นหมดแหละ เวลาเขาทิ้งระเบิดขึ้นมานี่ฝนเป็นห่าๆ เลย แต่สมัยพุทธกาล ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว บอกในอนาคตกาลจะมีฝนเหล็ก แล้วใครจะเชื่อว่าฝนเหล็กเป็นอย่างไร? สมัย ๒,๐๐๐ กว่าปีใครจะเชื่อ

นี่ไงอนาคตังสญาณของพระพุทธเจ้ามีพร้อมอยู่แล้ว เห็นไหม ถึงบอกว่าอย่าเสียใจๆ นี่ไงเวลาฟ้าแลบ ฟ้าร้องต่างๆ คนโบราณเขากราบไหว้บูชากัน เขาตื่นเต้นไปเพราะเขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจทางวิทยาศาสตร์ แต่ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์มันตีโจทย์แตกหมดแล้ว เข้าใจหมดแล้ว ทุกคนก็ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติ ๖ ปีนั้นยังไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็เหมือนกับคนที่เขายังไม่เข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์เลย เขาเห็นฟ้าผ่า เห็นฟ้าแลบเขาตกใจทั้งนั้นแหละ

นี่ ๖ ปีนั้น แล้วความจริงอันนี้ยังไม่เกิด อริยสัจยังไม่มี เหมือนกับวิทยาศาสตร์ยังไม่มี คนก็ยังตื่นเต้นไปกับเสียงปกติของธรรมชาติเขา สิ่งที่เป็นธรรมชาติเรายังตกใจกลัวเลย แต่เวลาเรารู้เรื่องวิทยาศาสตร์แล้วมันก็เป็นธรรมชาติของมัน เราหลบหลีกมัน ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง เราก็หลบเพื่อความปลอดภัยของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ขึ้นมา ธรรมยังไม่มี ๖ ปีนั้น แต่ปัจจุบันนี้ธรรมเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางเป็นทฤษฎี ทฤษฎีเท่านั้น! นี่แล้วคนเข้าไม่ถึงทฤษฎี คนศึกษาทฤษฎีแต่เข้าไม่ถึงสัจจะความจริง พอเข้าไม่ถึงสัจจะความจริง นี่ปริยัติคือทฤษฎี เรียนทฤษฎีกันมาก็เอาทฤษฎีมาเถียงกัน แต่ความจริงเข้าไม่ถึง ความจริงเข้าไม่ได้

พอความจริงเข้าถึงไม่ได้ เวลาพูดไปมันก็อยู่ที่การตีความ การตีความของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน แล้วก็ตีความมา เอาพระไตรปิฎกเป็นตัวตั้ง แล้วมาทะเลาะกันเรื่องพระไตรปิฎก แต่ไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องกิเลสเลยนะ ไม่ได้ทะเลาะกันตีความกันว่าในใจของคน ในใจของใครมันมีกิเลส ในใจของใครมันมีทิฏฐิมานะ ถ้าในใจของใครมีทิฏฐิมานะ ถ้าใจมันสะอาดเหมือนกันแล้วมันจะทะเลาะกันเรื่องอะไร? พระไตรปิฎกเป็นกติกา

ดูสิเราเป็นคนไทย เราอยู่ในสังคมไทย เราจะไปทะเลาะกันเรื่องกฎหมายไง กฎหมายลูกที่บังคับมามันก็เขียนมาเพื่อนักการเมืองเขาต้องการผลประโยชน์ของเขา แต่นี้ก็เหมือนกัน กฎหมายเมืองไทยเราต้องยอมรับใช่ไหม? พระไตรปิฎกก็เหมือนกัน ในเมื่อพระไตรปิฎกมันเป็นกติกาขึ้นมาที่บังคับใช้ในชาวพุทธเรา เราจะไปเถียงมันทำไม? เรายอมรับรู้ แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา

นี่สิ่งที่ปฏิบัติ ความจริงอันนี้มันเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าความจริงเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าใจมันจริงมันจะผิดไปไหน? สิ่งที่ผิดนะ ในสังคมมันมีผิดมีถูกทั้งนั้นแหละ แต่สิ่งที่ดีเราก็ต้องสงวนสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีเราก็ต้องจัดการ เวลาพูด เห็นไหม สิ่งนี้เวลาพูดถึงมันก็ตรงไปที่พระป่า บอกว่าโอนบุญมันมีในพระไตรปิฎกไหม? แล้วเวลายุบหนอ พองหนอ มันมีในพระไตรปิฎกไหม?

สิ่งที่เป็นธรรมกายมีในพระไตรปิฎก มันก็อ้างว่าในพระไตรปิฎกมีธรรมกายๆ ธรรมกายมันเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าพูดถึงว่ากายเราเป็นธรรม กายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กายของพระอรหันต์มันเป็นธรรม เพราะกายนี้มันสะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์ตั้งแต่จิตมันสะอาดบริสุทธิ์ นี่ธรรมกายคือผลของกายที่เป็นธรรม กายของพระอรหันต์เป็นธรรม ธรรมกาย แต่ธรรมกายมันเป็นผล มันไม่ใช่วิธีการ วิธีการมันต้องมรรคญาณ มรรคญาณการต่อสู้

นี่ก็เหมือนกัน ยุบหนอ พองหนอ มันเป็นคำบริกรรมเฉยๆ ปัญญาสายตรง นามรูปๆ เนี่ย ถ้าพูดถึงจะเอาความตรงตัว มันมีที่ไหนในกรรมฐาน ๔๐ ห้องมันไม่มี แต่ก็ตีความกันบอกว่านี่เป็นปัญญาโดยชอบ วิปัสสนาปัญญา.. มันเป็นปัญญาของกิเลสไง ปัญญาของตัวตน ปัญญาของอีโก้ ปัญญาของทิฏฐิมานะ มันจะเป็นโลกุตตรปัญญาไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้นะ เพียงแต่ว่าผู้รู้จริง แล้วคอยคลี่คลายปัญหาในสังคมชาวพุทธเรา สังคมชาวพุทธเวลาปฏิบัติเพราะไม่ถือครูบาอาจารย์เป็นนิสัย ไม่มีครูบาอาจารย์ เราบวชขึ้นมามีอุปัชฌาย์อาจารย์ เห็นไหม ต้องไม่ถือนิสัยนี่เป็นอาบัติทั้งนั้นแหละ

แต่ขณะที่จิตใจมันไม่ลงไง เพราะมันทำเป็นพิธีกันเฉยๆ แต่ถ้าเราไปถือนิสัยครูบาอาจารย์ในการปฏิบัติ ถ้าใจเราไม่ลงนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ออกมามันแทงหัวใจเรา มันแทงตลอด มันแทงกิเลสตลอด มันลงที่นี่ แล้วพอเรารู้อะไรขึ้นมา เราก็มีทิฏฐิมานะว่าเรารู้ เราเห็น เราเก่งทั้งนั้นแหละ ครูบาอาจารย์บอกไอ้นั่นมันเด็กเล่นขายของ ไอ้นั่นมันแค่พื้นฐาน เห็นไหม มันแค่พื้นที่ที่เราจะประพฤติปฏิบัติเท่านั้นเอง

นี่ก็พยายามจะประคอง พยายามจะส่งเสริมให้เจริญงอกงามขึ้นมา พอเจริญงอกงามขึ้นมา เห็นไหม มรรคละเอียดเกิดขึ้นมามันก็ทิ้งมรรคหยาบ ทิ้งทิฏฐิมานะที่เห็นผิดนั่นน่ะ เข้าไปเห็น เข้าไปรู้ ไปเรียนมันจะทิ้งมา ถ้าจิตมันละเอียดเข้ามามันจะทิ้งของหยาบเข้าไป

แต่นี้เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ พอไปเห็นเข้าไปตื่นเต้นกับมัน ยึดมันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม แล้วก็โฆษณาสิ่งนั้นไป มันเป็นความผิดทั้งหมดเลย เพราะขาดการถือนิสัย ขาดการมีครูบาอาจารย์คอยพิจารณา คอยควบคุมกันมา

แล้วถ้าครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ครูบาอาจารย์ที่ดี ครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องจะพาลูกศิษย์ไปทางที่ดี โคนำฝูง โคที่ฉลาด โคที่ดี จะเอาฝูงโคนั้นขึ้นฝั่ง ถ้าหัวหน้าโคมันตาบอด หัวหน้าโคไม่มีสมอง มันจะพาฝูงโคนั้นลงไปในวังน้ำวน มันจะพาฝูงโคนั้นไปตายกันหมดนะ

นี่เราประพฤติปฏิบัติ เราเกิดมาในท่ามกลางกึ่งพุทธกาลนะ ครูบาอาจารย์เราพาทำมานะ นี่เวลาเขาโจมตีมา เขาโจมตีคือเขาชี้ผิดชี้ถูกนั่นแหละ แต่ชี้ผิดชี้ถูก ถ้าเขาเป็นธรรมนะ ถ้าเขาเป็นธรรมเขาต้องชี้ผิดชี้ถูกในสังคมสงฆ์ทั้งหมด คนไหนที่ผิดก็ต้องชี้ไปตามผิดสิ แต่นี้ชี้ผิดชี้ถูกเฉพาะแต่ผู้ที่ปฏิบัติ แล้วไอ้ที่เขาทำผิดกันทำไมไม่ชี้ถูกชี้ผิดไปล่ะ?

นี่ถ้าเป็นธรรมนะมันต้องชี้ถูกชี้ผิด เพราะมันผิดมาก่อนหน้าเยอะแยะ แต่มาชี้ผิดชี้ถูกอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็ผิด เราก็เห็นว่าควรจะชี้ผิดด้วย เพราะเขาก็เห่อเหิม พูดออกมาได้อย่างไรโอนบุญโอนกรรม มันก็นอกศาสนา แล้วนี่ดูสิบอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เดี๋ยวจะโดนต่อไปเป็นรายต่อไปนะ เอวัง